เฌอรีได้ไปเยือน ดอนหอยหลอด สมุทรสงคราม เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๓ ธันวาคม ที่ผ่านมาโดยบังเอิญ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีนับแต่วัยเด็กโน่น ได้ซื้ออาหารทะเลมาจำนวนหนึ่ง มานั่งกินกันบริเวณริมทะเลดอนหอยหลอดนั่นแหละ แต่เฌอรีอยากลองสาหร่ายพวงองุ่นนี่มาก เพราะไม่เคยทานมาก่อน แต่เคยเห็นว่าบางร้านอาหารใช้ตกแต่งจาน ก็ไม่เคยได้ลองชิมดูสักที
แม่ค้าในตลาดดอนหอยหลอด เขาบรรจุเจ้าสาหร่ายตัวนี้ ลงกล่องพลาสติค กลม ใส ขายคู่กับน้ำจิ้มอาหารทะเล กล่องละ ๔๐ บาท ซื้อ ๓ กล่อง ๑๐๐ บาท ซื้อมาแค่กล่องเดียว เพราะเพื่อน ๆ บอกไม่ชอบ รสชาดของสาหร่ายพวงองุ่น คือ ออกเค็ม ๆ คล้ายไข่กุ้ง รสสัมผัส คือ ฉ่ำน้ำ นุ่ม ๆ หยุ่น ๆ กรุบ ๆ รับกับน้ำจิ้มอาหารทะเลมาก ๆ เลยมีความสงสัยอยากรู้ว่า ใครเป็นคนริเริ่มนำมาบริโภคกันนะ แต่เฌอรีว่าเราสามารถประยุกต์กับอาหารได้หลากหลาย คราวหน้าต้องลองดู เกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ เมื่อซื้อมาบริโภค จะมีอายุราว ๒-๓ วัน ไม่ควรเก็บเอาไว้ในตู้เย็น เก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง ก่อนนำมารับประทานให้นำไปล้าง และสะดุ้งน้ำเย็นเพื่อความสดกรอบก็เพียงพอแล้ว
จากการค้นคว้าเพียงเล็กน้อย พบว่า คนไทยบางกลุ่มเข้าใจว่า สาหร่ายพวงองุ่น กำเนิดที่ โอกินาว่า ประเทศญี่ปุ่น แต่จริง ๆ แล้ว ทางภาคใต้บ้านเรา นิยมนำมาบริโภคกันมาช้านานแล้ว เรียกกันว่า สาหร่ายเม็ดพริกไทย หรือ สาหร่ายช่อพริกไทย รับคู่กับน้ำพริกกะปิ หรือใช้เป็นเครื่องเคียงกับอาหารถิ่นรสชาดเผ็ดร้อนต่าง ๆ และที่ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล ที่สัตหีบ ได้เพาะเลี้ยงสาหร่ายชนิดนี้ไว้เลี้ยงเต่าทะเลกันด้วย
เรามาลงลึกเกี่ยวกับ สาหร่ายพวงองุ่น นี้กันเถอะ
สาหร่ายทะเลเป็นอาหารที่นิยมบริโภคในต่างประเทศมาเป็นเวลานาน ประเทศที่นิยมบริโภคสาหร่ายทะเล ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฟิลิปปินส์ เป็นต้น นอกจากนี้สาหร่ายทะเลยังมีประโยชน์หลากหลาย ไม่ว่าจะใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง ปุ๋ย ยารักษาโรค อาหารสัตว์ เป็นต้น ในปัจจุบันมีการนิยมบริโภคสาหร่ายทะเลมากขึ้น เนื่องจากสาหร่ายทะเลมีคุณประโยชน์มากมาย จัดเป็นอาหารสุขภาพ ประเทศที่มีการเลี้ยงและส่งออกสาหร่ายมีหลายประเทศ เช่น ประเทศจีน เวียดนาม แคนาดา ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ในประเทศไทยนั้นมีการบริโภคสาหร่ายทะเลในจังหวัดทางภาคใต้และภาคตะวันออก โดยรับประทานแทนผัก ในปัจจุบันกรมประมงสามารถเพาะเลี้ยงสาหร่ายทะเลได้หลายชนิด โดยหนึ่งในนั้น ได้แก่ สาหร่ายพวงองุ่นซึ่งเป็นสาหร่ายที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและเป็นหนึ่งในอาหารยอดนิยมของชาวญี่ปุ่น
สาหร่ายพวงองุ่น เป็นสาหร่ายทะเลสีเขียว (green algae) หรือมีชื่อสามัญว่า Sea Grapes หรือ Green Caviar เนื่องจากมีเม็ดกลมและเป็นช่อคล้ายพวงองุ่น หรือคล้ายไข่ปลาคาร์เวียร์ นอกจากนี้ยังมีชื่อเรียกว่า Lelato, Ararusip, Lato ชาวญี่ปุ่นเรียกสาหร่ายชนิดนี้ว่า umibudo มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Caulerpa lentillifera J. Agardh อยู่ในครอบครัว Caulerpaceae เป็นสาหร่ายที่มีการแพร่กระจายอยู่ในเขต tropicalและ subtropical พบได้ในประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย เวียดนามและญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังแพร่กระจาย ไปเขตร้อน ได้แก่ เคนยา มาดากัสการ์ มอริเซียส โมแซมบิก โซมาเลีย อาฟริกาใต้ แทนซาเนียและปาปัวนิวกินี เจริญเติบโตได้ดีในน้ำที่มีสารอาหารบริบูรณ์และแสงแดด มีลักษณะคล้ายองุ่น สีเขียวสด มีคุณค่าทางอาหารสูง จัดเป็นอาหารทะเลที่สำคัญในญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ มีทั้งการเก็บเกี่ยวจากธรรมชาติและจากการเลี้ยงในบ่อดิน การเลี้ยงแบบเชิงพาณิชย์ในจังหวัดโอกินา เริ่มต้นในปี ๑๙๘๖ (Trono and Toma, ๑๙๙๓)
ลักษณะทางกายภาพ : ทัลลัสประกอบด้วยสโตลอนที่คืบคลานไปตามพื้นและแตกแขนงได้ แขนงตั้งตรงสูง ๑-๖ ซม. ประกอบด้วยรามูลัสที่เป็นเม็ดกลม เส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๕-๒ มม. มีก้านสั้น ๆ เรียงกันคล้ายช่อพริกไทย แต่ละรามูลัสมีรอยคอดระหว่างก้านและส่วนที่เป็นเม็ดกลมสีเขียวใส ขึ้นบนก้อนหิน หรือพื้นทรายที่น้ำตื้น ๆ ใกล้แนวปะการัง (Lewmanomont and Ogawa ๑๙๙๕) นอกจากนี้สามารถพบได้ในพื้นทรายปนโคลน และ สามารถปรับสภาพให้เจริญเติบโตได้ดีในบ่อเลี้ยง แต่ไม่สามารถทนทานต่อน้ำจืด
สาหร่ายพวงองุ่นเป็นหนึ่งในสาหร่ายที่รับประทานได้ของประเทศไทย (กาญจนภาชน์, ๑๙๗๘) สาหร่ายชนิดนี้อุดมด้วยแร่ธาตุ และวิตามินหลายชนิด ทั้งกรดไขมัน PUFA วิตามินบี ๒ วิตามินอี และเกลือแร่ ได้แก่ I, P, Zn, Ca, Mg, Se, Fe, Mn, Co มีลักษณะคล้ายองุ่น เนื่องจากมีรสชาติดีและมีคุณค่าทางอาหารจึงจัดเป็น ๑ ใน ๕ อาหารแนะนำสำหรับผู้ที่ไปเยือนเมืองโอกินาว่า เป็นอาหารสุขภาพ ชาวโอกินาว่าเชื่อว่าการรับประทานสาหร่ายทะเล ช่วยให้หายป่วยได้เร็วขึ้น เนื่องจากมีวิตามินเอ วิตามินซีและเกลือแร่สูง เป็นแหล่งสำคัญของแมกนีเซียม ที่ช่วยลดความด้นโลหิต และป้องกันโรคหัวใจล้มเหลว ช่วยต้านมะเร็ง ไอโอดีนสูงจึงช่วยผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์ได้ นิยมบริโภคกับอาหารทะเล รับประทานสดแทนผัก สลัด ตกแต่งจานอาหาร อีกทั้งยังเป็นอาหารที่มีราคาแพง
คุณค่าทางอาหารของสาหร่าย C. lentillifera
(Ratana-arporn and Chirapart , ๒๐๐๖)
++ องค์ประกอบทางเคมีอย่างหยาบ (หน่วยมิลลิกรัม/ ๑๐๐ กรัมน้ำหนักแห้ง) ++
- โปรตีน ๑๒.๔๙
- ไขมัน ๐.๘๖
- เยื่อใย ๓.๑๗
- เถ้า ๒๔.๒
- คาร์โบไฮเดรต ๕๙.๒๗
- ความชื้น ๒๕.๓๑
++ เกลือแร่ มิลลิกรัม/๑๐๐ กรัม น้ำหนักแห้ง ++
- ฟอสฟอรัส ๑๐๓๐
- โปแตสเซียม ๙๗๐
- แคลเซียม ๗๘๐
- แมกนีเซียม ๖๓๐
- สังกะสี ๒.๖
- แมงกานีส ๗.๙
- เหล็ก ๙.๓
- ทองแดง ๒,๒๐๐ (ไมโครกรัม/๑๐๐ กรัมน้ำหนักแห้ง)
- ไอโอดีน ๑,๔๒๔ (ไมโครกรัม/๑๐๐ กรัมน้ำหนักแห้ง)
++ วิตามิน มิลลิกรัม /๑๐๐ กรัมน้ำหนักสด ++
- E ๒.๒๒
- C ๑.๐๐
- Thiamin ๐.๐๕
- Riboflavin ๐.๐๒
- Niacin ๑.๐๙
นอกจากนี้สาหร่าย C. lentillifera ยังมีกรดอะมิโนจ าเป็นเกือบ ร้อยละ ๔๐ ของกรดอะมิโนรวม ซึ่งใกล้เคียงกับในไข่และโปรตีนถั่วเหลือง และมีกรดอะมิโนชนิด aspartic และ glutamic สูงประมาณร้อยละ ๒๕ ของปริมาณกรดอะมิโนทั้งหมดทำให้สาหร่ายมีกลิ่นและรสเฉพาะตัว
ข้อมูลจาก สาหร่ายพวงองุ่น “Green Caviar” สุพล ตั่นสุวรรณ มนทกานติ ท้ามติ้น และ สันติภาพ แซ่เฮ้า
ผลงาน ถอดเทปเป็นภาษาไทยและแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อทำซับไตเติ้ล (เฉพาะคำบรรยายไม่รวมถึงเอฟเฟคคำอื่น ๆ ในวิดีโอ)
หัวข้อ: รับมืออย่างไรกับการโดนบูลลี่
ส้ม คือ ผลไม้ที่ชาวไทยเรียกกัน ไม่ว่าจะกี่สายพันธุ์เราก็จะเรียกว่า 'ส้ม' แล้วตามด้วยชื่อสายพันธุ์ แต่ต่างชาติเขาเรียกไม่เหมือนเรา ฝรั่งฝากซื้อส้ม เป็นอันว่าซื้อผิด คนไทยก็แจงว่าซื้อ orange มาให้แล้วนี่ไง ฝรั่งบอกนี่มัน tangerine แล้วมันต่างกันยังไงล่ะ ?
เฌอรีขออธิบายดังนี้ ส้มหลากชนิดทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้ เป็นผลไม้ตระกูลซิตรัส (Citrus) หรือผลไม้รสเปรี้ยวทั้งสิ้น หมายรวมถึงมะนาวหลายสายพันธุ์ด้วย
🍊ส้ม Orange ขนาดของผลส้ม จะใหญ่กว่า Tangerine ถึง ๒ เท่า ส่วนใหญ่จะไม่มีเมล็ด เปลือกหนา ปอกด้วยมือยาก นิยมใช้มีดหั่นเพื่อรับประทาน มีเยื่อสีขาวหนา ห่อหุ้มผิวเนื้อส้ม รองจากเปลือกหนา ๆ เรียกว่า rind นึกภาพให้ออกก็คือ ส้มจากต่างประเทศ เปลือกหนา สีส้มทอง สวยตลอดทั้งผล ที่ขายแพง ๆ ตามห้างนั่นแหละ เช่น ส้ม Navel, Sunkist, Valencia เนื้อฉ่ำ รสหวานอมเปรี้ยว ส้มเปลือกหนาพวกนี้ ฝรั่งก็มีหลายสายพันธุ์ จะเรียกชื่อขึ้นต้นด้วยสายพันธุ์ก่อนแล้วตามด้วย Orange
🍊ส้ม Tangerine เป็นส้มเปลือกบาง มีทั้งเปลือกสีเขียว สีเหลือง และสีส้ม เมล็ดเยอะ รสจะออกหวาน ปอกเปลือกง่ายด้วยมือ เช่น ส้มเขียวหวาน ส้มสายน้ำผึ้ง ส้มบางมด ส้มรังสิต ส้มภูเรือ ส้มโชกุน
🍊ส้ม Clementine เหมือน Tangerine แต่ไม่มีเมล็ด ผลเล็ก เป็นพันธุ์ผสมของส้มแมนดาริน กับส้มหวาน ค้นพบครั้งแรกในปลายศตวรรษ ๑๙ ที่ประเทศแอลจีเรีย
Tim McGraw, Tyler Hubbard - Undivided (Director's Cut)
KISS OF LIFE
In 1968, the author received the Pulitzer Prize for this photograph - one of the most prestigious awards in the United States, which is awarded for achievements in music, cinema, theater and journalism.
The picture shows two electricians, Randall Champion and Jay Thompson, hanging from a power pole. That day there was a strong heat and nothing foreshadowed trouble. The hum of air conditioners in July 1967 was heard throughout the state of Florida. Because of them, in the city of Jacksonville, there was an overload of power lines, and this caused a power surge.
Randall and Jay were doing routine maintenance on a live line when Randall accidentally touched one of the wires. A discharge of 4000 V passed through the body and his heart stopped. For understanding: during the execution in the electric chair, a voltage of 2000 V is used
Randall's lifeless body hung from the harness. But his partner Jay did not lose his head, realizing that every second is precious, he began to give him artificial respiration right on the pole. It was very inconvenient, but there was no other way out. In such a situation, it is difficult to conduct a normal resuscitation, but Jay still tried to start his friend's heart until he had a weak pulse.
Only after that he unhooked his partner's insurance and, throwing him over his shoulder, went down to the ground. By the time the rescuers arrived (they were called by professional photographer Rocco Morabito, who happened to be at the scene), Champion was already conscious on the ground.
Not only was he saved, thanks to Thompson, but he lived another 35 years. The electrician died in 2003 at the age of 64.
Thompson is alive today.
จูบแห่งชีวิต
ในปี พ.ศ. 2511 ผู้เขียนได้รับรางวัลพูลิตเซอร์สำหรับภาพถ่ายนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดในสหรัฐอเมริกา และเป็นรางวัลสำหรับความสำเร็จในด้านดนตรี ภาพยนตร์ โรงละคร และสื่อสารมวลชน
ภาพแสดงให้เห็นถึงช่างไฟฟ้า 2 คน คือ แรนดอล แชมเปี้ยน และ เจย์ ทอมป์สัน กำลังห้อยโหนอยู่บนเสาไฟฟ้า ในวันนั้นอากาศร้อนแรงและไม่มีสิ่งใดคาดเดาได้ เสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2510 ดังทั่วรัฐฟลอริดา ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีสายไฟฟ้าเกินและทำให้เกิดไฟกระชากในเมืองแจ็คสันวิลล์
แรนดอลและเจย์กำลังซ่อมบำรุงสายไฟที่มีกระแสไฟฟ้าไปตามปกติ จนแรนดอลเผลอไปโดนสายไฟเส้นหนึ่ง กระแสไฟ 4000 โวลต์ ไหลผ่านร่างกายของเขา ทำให้หัวใจของเขาหยุดเต้น (ขยายความ: เก้าอี้ไฟฟ้า ใช้กระแสไฟ 2000 โวลต์)
ร่างไร้วิญญาณของแรนดอลห้อยต่องแต่งกับสายรัด แต่เจย์คู่หูของเขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตระหนักดีว่าทุกวินาทีมีค่า จึงเริ่มทำการช่วยหายใจให้แรนดอลบนเสาไฟฟ้านั้นเอง มันไม่ได้ทำได้สะดวกนัก แต่ไม่มีทางออกอื่นแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ การผายปอดปกติทำได้ยาก แต่เจย์ยังพยายามกระตุ้นหัวใจเพื่อนของเขาจนกระทั่งชีพจรค่อย ๆ กลับมาเต้นเบา ๆ
หลังจากนั้นเขาปลดเพื่อนออกจากอุปกรณ์นิรภัย พาดเพื่อนขึ้นบ่าแล้วลงมายังพื้นดิน เมื่อหน่วยกู้ชีพมาถึง (ที่ถูกเรียกมาจากช่างภาพมืออาชีพ ร็อคโค โมราบิโต ซึ่งบังเอิญอยู่ในที่เกิดเหตุ) แรนดอล แชมเปี้ยน รู้สึกตัวขณะอยู่บนพื้นแล้ว ต้องขอบคุณ เจย์ ทอมป์สัน ไม่เพียงแต่เขาจะรอดตายเท่านั้น เขายังมีชีวิตต่อมาอีก 35 ปี และเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2546 ขณะมีอายุได้ 64 ปี ส่วนเจย์ ทอมป์สัน ยังมีชีวิตอยู่จวบจนวันนี้
แปลโดย เฌอรี ละเวงวัณฬา สุริยา
เว็บบล็อกหลากหลายอารมณ์บันทึกเรื่องราว ข่าวสาร ศิลปะของภาษา ความรู้ ความคิดเห็นในแง่มุมต่าง ๆ รวมถึงจัดแสดงผลงานการแปลคำบรรยายแทนเสียงเป็นภาษาอังกฤษ แปลบทพากษ์เสียงภาษาอังกฤษ (ไม่รวมคำบรรยายแทนเสียงภาษาไทย) ผ่านการพรมนิ้วอย่างใส่ใจลงบนคีย์บอร์ดของนักแปลอิสระคนหนึ่ง
281 posts