รายการกีฬากรุงเทพ ตอนที่ 15 TEQ Ball @BKK (พากย์ภาษาไทย)

รายการกีฬากรุงเทพ ตอนที่ 15 TEQ Ball @BKK (พากย์ภาษาไทย)

Tags

More Posts from Khuncherie and Others

1 year ago

รายการมรดกไทยปลายด้ามขวาน ตอนที่ 12 โรงไฟฟ้าจากพระอัจฉริยภาพพระราชา (English)


Tags
3 years ago

ผลงาน ถอดเทปเป็นภาษาไทยและแปลเป็นภาษาอังกฤษเพื่อทำซับไตเติ้ล (เฉพาะคำบรรยายไม่รวมถึงเอฟเฟคคำอื่น ๆ ในวิดีโอ)

หัวข้อ: รับมืออย่างไรกับการโดนบูลลี่


Tags
1 year ago

รายการ กีฬากรุงเทพ ตอนที่ 4 ปั่น ไป กัน @บางขุนเทียน (พากย์ภาษาอังกฤษ)


Tags
1 year ago

รายการมรดกไทยปลายด้ามขวาน ตอนที่ 11 ยลตำนานวัดหน้าถ้ำ เคล้าวัฒนธรรมชุมชน (พากย์ภาษาไทย)


Tags
1 year ago

รายการมรดกไทยปลายด้ามขวาน ตอนที่ 7 ยลชีวิตชาวเล เก๋ไก๋สไตล์บ้านละเวง (English)


Tags
1 year ago
KISS OF LIFE

KISS OF LIFE

In 1968, the author received the Pulitzer Prize for this photograph - one of the most prestigious awards in the United States, which is awarded for achievements in music, cinema, theater and journalism.

The picture shows two electricians, Randall Champion and Jay Thompson, hanging from a power pole. That day there was a strong heat and nothing foreshadowed trouble. The hum of air conditioners in July 1967 was heard throughout the state of Florida. Because of them, in the city of Jacksonville, there was an overload of power lines, and this caused a power surge.

Randall and Jay were doing routine maintenance on a live line when Randall accidentally touched one of the wires. A discharge of 4000 V passed through the body and his heart stopped. For understanding: during the execution in the electric chair, a voltage of 2000 V is used

Randall's lifeless body hung from the harness. But his partner Jay did not lose his head, realizing that every second is precious, he began to give him artificial respiration right on the pole. It was very inconvenient, but there was no other way out. In such a situation, it is difficult to conduct a normal resuscitation, but Jay still tried to start his friend's heart until he had a weak pulse.

Only after that he unhooked his partner's insurance and, throwing him over his shoulder, went down to the ground. By the time the rescuers arrived (they were called by professional photographer Rocco Morabito, who happened to be at the scene), Champion was already conscious on the ground.

Not only was he saved, thanks to Thompson, but he lived another 35 years. The electrician died in 2003 at the age of 64.

Thompson is alive today.

จูบแห่งชีวิต

ในปี พ.ศ. 2511 ผู้เขียนได้รับรางวัลพูลิตเซอร์สำหรับภาพถ่ายนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในรางวัลอันทรงเกียรติที่สุดในสหรัฐอเมริกา และเป็นรางวัลสำหรับความสำเร็จในด้านดนตรี ภาพยนตร์ โรงละคร และสื่อสารมวลชน

ภาพแสดงให้เห็นถึงช่างไฟฟ้า 2 คน คือ แรนดอล แชมเปี้ยน และ เจย์ ทอมป์สัน กำลังห้อยโหนอยู่บนเสาไฟฟ้า ในวันนั้นอากาศร้อนแรงและไม่มีสิ่งใดคาดเดาได้ เสียงการทำงานของเครื่องปรับอากาศในเดือน กรกฎาคม พ.ศ. 2510 ดังทั่วรัฐฟลอริดา ด้วยเหตุนี้เอง จึงมีสายไฟฟ้าเกินและทำให้เกิดไฟกระชากในเมืองแจ็คสันวิลล์

แรนดอลและเจย์กำลังซ่อมบำรุงสายไฟที่มีกระแสไฟฟ้าไปตามปกติ จนแรนดอลเผลอไปโดนสายไฟเส้นหนึ่ง กระแสไฟ 4000 โวลต์ ไหลผ่านร่างกายของเขา ทำให้หัวใจของเขาหยุดเต้น (ขยายความ: เก้าอี้ไฟฟ้า ใช้กระแสไฟ 2000 โวลต์)

ร่างไร้วิญญาณของแรนดอลห้อยต่องแต่งกับสายรัด แต่เจย์คู่หูของเขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ตระหนักดีว่าทุกวินาทีมีค่า จึงเริ่มทำการช่วยหายใจให้แรนดอลบนเสาไฟฟ้านั้นเอง มันไม่ได้ทำได้สะดวกนัก แต่ไม่มีทางออกอื่นแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ การผายปอดปกติทำได้ยาก แต่เจย์ยังพยายามกระตุ้นหัวใจเพื่อนของเขาจนกระทั่งชีพจรค่อย ๆ กลับมาเต้นเบา ๆ

หลังจากนั้นเขาปลดเพื่อนออกจากอุปกรณ์นิรภัย พาดเพื่อนขึ้นบ่าแล้วลงมายังพื้นดิน เมื่อหน่วยกู้ชีพมาถึง (ที่ถูกเรียกมาจากช่างภาพมืออาชีพ ร็อคโค โมราบิโต ซึ่งบังเอิญอยู่ในที่เกิดเหตุ) แรนดอล แชมเปี้ยน รู้สึกตัวขณะอยู่บนพื้นแล้ว ต้องขอบคุณ เจย์ ทอมป์สัน ไม่เพียงแต่เขาจะรอดตายเท่านั้น เขายังมีชีวิตต่อมาอีก 35 ปี และเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2546 ขณะมีอายุได้ 64 ปี ส่วนเจย์ ทอมป์สัน ยังมีชีวิตอยู่จวบจนวันนี้

แปลโดย เฌอรี ละเวงวัณฬา สุริยา


Tags
3 years ago

รายการ A day in Bangkok วันนี้เที่ยวกรุงเทพฯ ตอน 29 ตามรอยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้นคลองแสนแสบ ภาษาไทย


Tags
3 years ago

บุกตลาดนัดอาหารนิวยอร์ก ร้านข้างทางเค้าเด็ดจริง! I กู๊ดเดย์ อเมริกา EP13 I NYC Food Market


Tags
5 years ago

ทำไมเราถึงมีน้ำมูก?

เฌอรีเป็นหวัด ไอ จาม เจ็บคอ และมีน้ำมูกมาหลายวัน หลังจากได้เจอซิลวาเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคมที่ผ่านมา เลยสงสัยว่าจริง ๆ แล้ว น้ำมูกนี่มันถูกสร้างมาเพื่อลดอาการระคายเคือง ของโพรงจมูก แล้วไหลลงหลอดลม หรือคอ เพื่อลดอาการระคายเคืองที่ช่องคอ ใช่หรือไม่? เลยค้นหาข้อมูลเท่าที่หาได้มาเขียนบันทึกไว้ดีกว่า

สาเหตุหลักของการเกิดน้ำมูก คือ จมูกมีการสร้างสารคัดหลั่งขึ้น เมื่อร่างกายได้รับสารภูมิแพ้ แล้วไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิชนิด IgE ภูมินี้จะไปกระตุ้น Mast cell (เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง) ทำให้ร่างกายมีการหลั่งสารเคมีหลายชนิด เช่น histamin, prostaglandin สารเหล่านี้ทำให้เกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ซึ่งเกิดได้จากสาเหตุหลายอย่างด้วยกัน หรือภาษาง่าย ๆ คือ การต่อสู้กันระหว่างภูมิต้านทานของเรากับเชื้อหวัดนั่นเอง

อาการน้ำมูลไหล เป็นอาการที่มีของเหลว (หรือน้ำมูก) ที่ถูกสร้างขึ้นจากเนื้อเยื่อ และเส้นเลือดในโพรงจมูกส่วนเกินจำนวนมากไหลออกมาจากโพรงจมูก น้ำมูกที่ไหลออกอาจเป็นได้ทั้งของเหลวใสหรือขุ่นเหนียว อาการน้ำมูกไหลเกิดขึ้นจากการระคายเคือง หรือจากการอักเสบของเนื้อเยื่อในจมูก อาการน้ำมูกไหลสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อร่างกายติดเชื้อ เช่น โรคหวัดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย หรือไม่ได้ติดเชื้อแต่ได้รับสารก่อภูมิแพ้ก็ทำให้เกิดน้ำมูกไหลได้เช่นเดียวกัน

น้ำมูกไหลจากการเกิดไข้หวัด

น้ำมูกไหลที่เกิดจากไข้หวัดธรรมดาเป็น อาการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจส่วนบน ไวรัสชนิดหลักที่ก่อให้เกิดโรคคือไรโนไวรัส (rhinovirus) ประมาณร้อยละ ๓๐ ถึง ๕๐ รองลงมาคือ โคโรนาไวรัส (coronavirus) ที่ประมาณร้อยละ ๑๐ ถึง ๑๕ อาการร่วมที่อาจเกิดขึ้นด้วย คือ อาการไอ คัดจมูก เจ็บคอ หรือมีไข้ ซึ่งปกติแล้วสามารถหายเป็นปกติได้เองภายใน ๗ ถึง ๑๐ วัน ยังมีความเข้าใจผิดอยู่มากว่า น้ำมูกข้นสีเหลืองเขียวเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งความจริงแล้วสีของน้ำมูก และเสมหะไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าร่างกายติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย การสังเกตสีของเสมหะจะมีประโยชน์เฉพาะกรณีที่เสมหะเป็นเลือดเท่านั้น ซึ่งเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยควรรีบพบแพทย์  

ยาสำหรับลดอาการน้ำมูกไหลที่เกิดจากไข้หวัด  

ยาแก้แพ้แบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ ยาแก้แพ้รุ่นแรก (first-generation antihistamine) อธิบายสั้น ๆ ได้ว่าเป็นยาแก้แพ้กลุ่มที่ทำให้ง่วง และกลุ่มที่สองคือ ยาแก้แพ้รุ่นที่สอง (second generation) หรือยาแก้แพ้กลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วง          

ยาแก้แพ้รุ่นแรก (first-generation antihistamine) เป็นยาที่ใช้สำหรับรักษาอาการน้ำมูกไหลเนื่องจากหวัด มีกลไก คือ ยับยั้งการทำงานของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งเป็นสารที่หลั่งขึ้นจากการตอบสนองด้านภูมิคุ้มกันของร่างกาย ยาแก้แพ้รุ่นแรกสามารถซึมผ่านเข้าสู่สมองไปออกฤทธิ์กดระบบประสาทได้ ผลคือทำให้พบอาการง่วงซึมได้เมื่อใช้ยากลุ่มนี้ นอกจากนี้แล้วยาแก้แพ้รุ่นแรกยังมีกลไกยับยั้งสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน (acetylcholine) ทำให้เกิดผลข้างเคียงอีกกลุ่มหนึ่ง คือ อาการแห้ง (ซึ่งกลไกนี้เองที่ให้น้ำมูกแห้ง) ได้แก่ ปากแห้ง คอแห้ง น้ำมูกข้น และอาการข้างเคียงอื่น ได้แก่ ตาพร่า ปัสสาวะคั่ง แรงดันในลูกตาเพิ่ม ใจสั่น ยากลุ่มนี้มีข้อควรระวัง คือ ไม่ใช้ยาในผู้ป่วยสูงอายุ โรคหัวใจ ต้อหิน ต่อมลูกหมากโต เนื่องจากผลข้างเคียงอาจทำให้อาการของโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่แล้วรุนแรงขึ้น  

ยาในกลุ่มนี้ที่นิยมใช้ ได้แก่ คลอเฟนิรามีน (chlorpheniramine) ขนาดรับประทาน คือ ๔ มิลลิกรัม ทุก ๔ ถึง ๖ ชั่วโมง ไม่รับประทานเกิน ๒๔ มิลลิกรัมต่อวัน บรอมเฟนิรามีน (brompheniramine) ขนาดรับประทานเช่นเดียวกันกับคลอเฟนิรามีน คือ ๔ มิลลิกรัม ทุก ๔ ถึง ๖ ชั่วโมง ไดเฟนไฮดรามีน (diphenhydramine) ขนาดรับประทาน คือ ๒๕ ถึง ๕๐ มิลลิกรัม ทุก ๔ ถึง ๖ ชั่วโมง และไม่เกิน ๑๕๐ มิลลิกรัมใน ๑ วัน ยาไดเฟนไฮดรามีนยังมีข้อบ่งใช้อื่น คือ บรรเทาอาการเมารถ เมาเรือ (motion sickness) นอกจากนี้มีการรายงานการศึกษาว่าการรักษาน้ำมูกไหลที่เกิดจากไข้หวัดด้วยการใช้ยานั้น ยาแก้แพ้รุ่นแรกให้ประสิทธิภาพดีกว่ายาแก้แพ้รุ่นที่สอง  

น้ำมูกไหลที่เกิดจากการแพ้

น้ำมูกไหลที่เกิดจากการแพ้ เป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ (allergen) เช่น ฝุ่นละออง เกสรดอกไม้ ไรฝุ่น เมื่อร่างกายสัมผัสสารเหล่านี้จะตอบสนองโดยการหลั่งฮีสตามีน (histamine) อาการน้ำมูกไหลที่เกิดขึ้นมักเป็นน้ำมูกใส และมีอาการอื่นที่เด่นชัดว่าเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ร่วมด้วย เช่น การมีผื่น หรือรู้สึกคัน

ยาสำหรับลดอาการน้ำมูกไหลที่เกิดจากสารก่อภูมิแพ้  

ยาแก้แพ้ที่ใช้กับอาการนี้ แนะนำให้ใช้ยาแก้แพ้รุ่นที่สอง หรือยาแก้กลุ่มที่ไม่ก่อให้เกิดอาการง่วง กลไกในการออกฤทธิ์ของยาเป็นแบบเดียวกันกับยาแก้แพ้รุ่นแรก คือ ยับยั้งการหลั่งฮีสตามีนซึ่งเป็นต้นเหตุโดยตรงของอาการแพ้ แต่ยากลุ่มนี้จะไม่ซึมผ่านเข้าสู่สมอง ทำให้ไม่พบผลข้างเคียง คืออาการง่วงซึม หรืออาจพบได้น้อยมากในยาบางตัว นอกจากนี้ยายังไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งสารสื่อประสาทอะเซทิลโคลีน ทำให้ไม่เกิดผลข้างเคียงปากแห้ง คอแห้ง ตาพร่า ปัสสาวะคั่ง แรงดันในลูกตาเพิ่ม ใจสั่น อย่างในยารุ่นแรกด้วย  

ยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ เซเทอริซีน (cetirizine) ขนาดรับประทาน คือ ๑๐ มิลลิกรัม วันละหนึ่งครั้ง หรือแบ่งรับประทาน ๕ มิลลิกรัม วันละสองครั้ง ลอราทาดีน (loratadine) ขนาดรับประทาน คือ ๑๐ มิลลิกรัมวันละหนึ่งครั้ง เฟกโซเฟนาดีน (fexofenadine) ขนาดรับประทาน คือ ๑๒๐ มิลลิกรัม วันละหนึ่งครึ่ง จะเห็นได้ว่ายากลุ่มนี้มีความถี่ในการรับประทานต่ำกว่ายารุ่นแรก คือ รับประทานเพียงวันละหนึ่งครั้ง เนื่องจากตัวยาสามารถออกฤทธิ์ได้ยาวนานกว่า ยาเลโวเซเทอริซีน (levocetirizine) คือ ยาที่เป็นโครงสร้างออกฤทธิ์ของเซเทอริซีน เช่นเดียวกันกับยา เดสรอลาทาดีน (desloratadine) ที่เป็นโครงสร้างที่ออกฤทธิ์ของยา ลอราทาดีน ซึ่งอาจพบว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่า และผลข้างเคียงน้อยกว่า ซึ่งอาการหวัดที่เกิดจากภูมิแพ้นั้นนอกจากการใช้ยารักษาแล้ว ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงหรือกำจัดสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ การใช้หน้ากากอนามัยในกรณีที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ อาจเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยลดการสัมผัสกับสารก่อแพ้ในอากาศ  

ดังนั้น แล้วการเลือกใช้ยาสำหรับลดน้ำมูกจึงได้สังเกตถึงต้นตอของน้ำมูกว่าเกิดจากอะไร การใช้ยากลุ่มหนึ่งกับอีกโรคหนึ่งอาจไม่เกิดประสิทธิภาพดีเท่าที่ควร นอกจากนี้ยังอาจเกิดอันตรายจากผลข้างเคียงของยาอีกด้วย การเลือกใช้ยาแก้แพ้จึงไม่ใช่การเลือกเพียงผลข้างเคียงเฉพาะอาการง่วงซึมหรือไม่ง่วงซึมเท่านั้น

*ข้อมูลจากเว็บไซต์ HohestDocs


Tags
Loading...
End of content
No more pages to load
khuncherie - Khun Cherie
Khun Cherie

เว็บบล็อกหลากหลายอารมณ์บันทึกเรื่องราว ข่าวสาร ศิลปะของภาษา ความรู้ ความคิดเห็นในแง่มุมต่าง ๆ รวมถึงจัดแสดงผลงานการแปลคำบรรยายแทนเสียงเป็นภาษาอังกฤษ แปลบทพากษ์เสียงภาษาอังกฤษ (ไม่รวมคำบรรยายแทนเสียงภาษาไทย) ผ่านการพรมนิ้วอย่างใส่ใจลงบนคีย์บอร์ดของนักแปลอิสระคนหนึ่ง

281 posts

Explore Tumblr Blog
Search Through Tumblr Tags